ฮิมต๋ายฮิมยัง | แชมป์นี้ ฮิมต๋ายฮิมยัง

การแข่งขันฟุตบอลระดับทวีป 2 รายการใหญ่ ยูโร 2020 และ โคปา อเมริกา 2021 ก็รูดม่านปิดฉากกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถือเป็นความปราชัยของเจ้าบ้านในนัดชิงชนะเลิศทั้งสองทวีป แบบไม่ได้นัดกันไว้

สังเวียนแข้งที่สนาม “เอสตาดิโอ จูนัลลิสตา มาริโอ ฟิลโญ” ประเทศบราซิล นัดชิงชนะเลิศ ระหว่าง บราซิล พบกับ อาร์เจนตินา คู่หยุดโลกที่แฟนบอลทั่วโลกให้ความสนใจ เพราะถ้าพูดถึงยอดทีมในแดนอเมริกาใต้ ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า 2 ทีมนี้คือแถวหน้าอย่างแท้จริง

นัดนี้ทั้งสองทีมต่างก็จัดตัวผู้เล่นที่ดีที่สุดที่พวกเขาจะมีความพร้อมในนัดชิงชนะเลิศ บราซิล ส่งแนวรุกนำโดย เนย์มาร์ จูเนียร์ ริชาร์ลิสัน เอเวอร์ตัน ลูคัส ปาเกตา ส่วนทัพ “ฟ้าขาว” อาร์เจนตินา นำโดย ลีโอเนล เมสซี เป็นแม่ทัพ อังเคล ดิ มาเรีย เลาตาโร มาร์ติเนซ และ เอมิเลียโน่ มาร์ติเนซ ฮีโร่ ที่พาทีมเข้าชิง หลังเซฟ 3 จุดโทษในเกมชนะ โคลอมเบีย

อย่างที่ทราบว่า ดาวดังทั้งสองทีม เนย์มาร์ จูเนียร์ สมัยที่แล้วที่ได้แชมป์เขาไม่ได้ร่วมทีม ส่วน ลีโอเนล เมสซี นักฟุตบอลที่ยังไม่ได้ความสำเร็จกับถ้วยใบใหญ่ในสีเสื้อทีมชาติ

นัดนี้จึงมีความหมายกับทั้งคู่เป็นอย่างมาก เพราะนี่คือส่วนที่พวกเขายังขาด ประวัติส่วนตัวพวกเขายังคงรอคอยคำว่า “แชมป์โคปา อเมริกา” มาห้อยท้ายประวัติ

จบเกม 90 นาทีที่สนุกเร้าใจ เป็นฝ่ายฟากฝั่ง อาร์เจนตินา ของจอมทัพ ลีโอเนล เมสซี จากการทำประตูของ อังเคล ดิ มาเรีย ตั้งแต่ในครึ่งแรก

ภาพการเฉลิมฉลอง เป้าหลักคงหนีไม่พ้น ลีโอเนล เมสซี ที่ชีวิตการค้าแข้งของเขาเข้าสู่บั้นปลายอาชีพ วินาทีนั้นเขาเองยังคงไม่มีสังกัด เพราะสัญญาเดิมที่มีกับ บาร์เซโลน่า มาอย่างยาวนานนั้นเพิ่งหมดลง

ภาพรอยยิ้มที่เปื้อนหน้าตลอดช่วงเวลาที่กล้องจับได้ แสดงให้เห็นว่า วันนี้เขาสุขใจแค่ไหน ช่องว่างที่รอคอยถ้วยใบใหญ่มาเติมเต็ม บัดนี้สมใจของเขาแล้ว

นอกจากถ้วยรางวัลในฐานะแชมป์แล้ว รางวัลดาวซัลโวประจำรายการ ก็ยังตกเป็นของ ลีโอเนล เมสซี จากผลงาน 4 ประตู กับ 5 แอสซิสต์ ในขณะที่รางวัล นักเตะยอดเยี่ยมประจำศึก โคปา อเมริกา 2021 สมาพันธ์ฟุตบอลอเมริกาใต้ หรือ คอนเมโบล ประกาศเลือก ลีโอเนล เมสซี กัปตันทีมชาติอาร์เจนติน่า และ เนย์มาร์ จูเนียร์ ซูเปอร์สตาร์ทีมชาติบราซิล เป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์ร่วมกัน

ถือเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนักเมื่อมีนักเตะยอดเยี่ยมพร้อมกัน 2 คน แม้ไม่ได้แชมป์ แต่ฟอร์มที่โดดเด่นและเล่นเพื่อทีมของ เนย์มาร์ จูเนียร์ ก็ช่วยให้ บราซิล มีผลงานสวยหรูมาตั้งแต่นัดแรก

ด้วยอายุอานามขนาดนี้ เนย์มาร์ จูเนียร์ ยังมีโอกาสที่จะคว้าถ้วยใหญ่ระดับชาติมาครอบครองได้

ส่วนทางฝั่งยุโรปที่ “เวมบลีย์” สังเวียนในนัดชิงชนะเลิศ “เจ้าบ้าน” อังกฤษ เปิดบ้านรับมือ “อัซซูร์รี” ทีมชาติอิตาลี ถือเป็นคู่ชิงที่สมน้ำสมเนื้อในการแข่งขันในครั้งนี้

อิตาลี ที่เคยพูดถึงไปแล้วว่า “พลิกโฉม” จากทีมที่เล่นน่าเบื่อ “ตีหัวเข้าบ้าน” กลายมาเป็นทีมที่เล่นเพรสซิ่งแดนบนคู่ต่อสู้ กับ อังกฤษ ที่เกมรับเหนียวแน่นตลอดทัวร์นาเมนต์

แค่เพียง 2 นาทีเท่านั้น แฟนบอลอังกฤษหลับตามองเห็นทีมรักคว้าแชมป์กันตั้งแต่ต้นเกม เมื่อออกนำไปก่อนจาก ลุค ชอว์ จากรอบที่ผ่านมา อังกฤษเป็นทีมที่เสียประตูแค่ลูกเดียวเท่านั้น ถือว่านำแล้ว โอกาสแพ้น้อยมาก

ยิ่งได้ประตูนำเร็ว อิตาลี ดูจะแกว่งไปอย่างเห็นได้ชัด ครึ่งแรกพวกเขาดูจะยังไม่สามารถสร้างความอันตรายให้กับแนวรับ “สิงโตคำราม” ได้เลย แม้จะจวนเจียนได้ลูกตีเสมอก็ตามที การต่อบอลอันแม่นยำที่เคยเป็นจุดเด่นนั้นแทบไม่มีให้เห็น ต้องใช้เพียงความสามารถเฉพาะตัวของนักเตะในการเจาะหาโอกาสเข้าทำ ยิ่งการเพรสซิ่งนั้นหายไปเลยก็ว่าได้

แต่จุดเปลี่ยนหลังจากพักกัน 15 นาทีก็เกิดขึ้น การเปลี่ยนตัวเร็วของ อิตาลี รวมถึงแท็กติคที่ แกเรธ เซาธ์เกต วางมาในครึ่งหลัง ที่เน้นรับมากจนเกินไป

ผลลัพธ์คือการที่ อิตาลี ได้ประตูตีเสมอจาก เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่ ในนาทีที่ 67 สกอร์นี้ยืดเยื้อมาจนจบ 120 นาที เป็นอันว่า แชมป์ ต้องตัดสินกันด้วยการดวลที่จุดโทษ

อิตาลี คมกว่า จึงคว้าแชมป์รายการนี้ไปครอง ปล่อยให้อังกฤษต้องอกหักคาบ้าน และยังคงต้องตามหาถ้วยใหญ่ต่อไปอีกอย่างน้อยก็ในฟุตบอลโลกครั้งหน้า

หลังเกมเกิดความไม่พอใจของแฟนบอลเจ้าบ้าน ตรงไปที่การจัดการทีมของ แกเรธ เซาธ์เกต ทั้งการวางแท็กติคที่เน้นรับมากเกินไป การเปลี่ยนตัวผู้เล่นก่อน 120 นาทีจะจบลง รวมไปถึงการวางตัวผู้สังหารจุดโทษ

เริ่มต้นเกม อังกฤษ มาดีมาก ๆ เห็นได้ชัดว่าการวางหมากของพวกเขาได้ผลอย่างดี การเล่นหลัง 3 ตัวและใช้วิงแบ็คเติมเกมสูง เพราะทั้ง 2 ฝั่งค่อนข้าง โล่งไม่มีตัวประกบจึงขยับไปมาได้อย่างอิสระ นำมาซึ่งประตูขึ้นนำตั้งแต่ต้นเกม นำแล้วก็พยายามเน้นครองบอลขึงแนวรับให้เเน่นจน อิตาลี เจาะเข้าทำได้อย่างลำบาก

แต่ในครึ่งหลัง กลับกลายเป็น อิตาลี ที่แก้เกมมาเน้นเกมบุกไล่เพรสสูง ในขณะที่ เซาธ์เกต ยังคงให้ลูกทีมเน้นรับเต็มตัว ไม่มีความพยายามจะเล่นเกมรุกอย่างที่เคยทำได้ดีเหมือนช่วงต้นเกมเลย เปอร์เซ็นต์ครองบอลบางจังหวะห่างกัน 4 เท่าเลยทีเดียว

การ “อุด” กับทีมอย่าง อิตาลี ในยุคนี้ก็เหมือนกับรอเวลาเสียประตูเท่านั้น และสุดท้ายพวกเขาถูกไล่ตีเสมอ นี่คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้พวกเขาต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้ถ้าต้องยิงจุดโทษ ทั้งที่ออกนำตั้งแต่ไก่โห่

ก่อนหมดเวลาในช่วงต่อเวลาพิเศษ เซาธ์เกต ตัดสินใจส่ง มาร์คัส แรชฟอร์ด กับ จาดอน ซานโช ลงมาเพื่อยิงจุดโทษ ทั้งที่ทั้งสองคนมีโอกาสสัมผัสเกมน้อยมากในยูโรหนนี้ และสุดท้ายเขาก็เลือก แรชฟอร์ด ซานโช รวมถึง ซากา เด็กหนุ่มวัย 19 ปี เป็นคนสังหารจุดโทษ ซึ่งทั้ง 3 คน ก็ยิงไม่เข้า และทำให้ อังกฤษ ต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปในที่สุด

ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ แฟนบอลอังกฤษ โยนให้เป็นความผิดพลาดของผู้จัดการทีม และแน่นอนว่าเขาปฏิเสธความรับผิดชอบนี้ไปไม่ได้

เมื่อต้องรับบทผู้จัดการทีม ดีก็ดีไป ก่อนเกมยังมีเรื่องที่จะเสนอชื่อ เซาธ์เกต ให้รับยศถาบรรดาศักดิ์ในชั้น “อัศวิน” หากได้แชมป์ แต่แล้วเมื่อไม่ได้ เขากลับกลายเป็น “ผู้ร้าย” แฟนบอลอาละวาด ทำลายข้าวของ ชกต่อยกันเองตามท้องถนน

นี่แหล่ะครับ เซาธ์เกต “ฮิมต๋ายฮิมยัง” จากบอลนัดชิงนัดเดียว จะบอกว่าเขาพลาดหล่ะก็ใช่ แต่จะบอกว่า “มันโช่” เจ๋งจริงก็ได้เหมือนกันครับ

BY TTDad

#ฮิมสนาม#ฮิมสนามตั้งวงเล่า#อีซูซุศาลาเชียงใหม่#ChiangmaiFreshmilk#zetajersey#ดาวเรืองตราบ้าน#ทรายป่าห้า#ไทยลีก#ไทยลีก2#ไทยลีก3#thaileague#ฟุตบอล#ข่าวฟุตบอล#ภาคเหนือ#ข่าวบอล#ข่าวบอลไทย#ข่าวฟุตบอลไทย#ป้อก๊าแข้ง#ไทยลีก1#อิตาลี #อาร์เจนตินา #ยูโร2020 #แอร์โร่ซอฟท์ #euro2020

Warut