ฮิมต๋ายฮิมยัง : ลีกไทยช่วงชุลมุน

หลังประกาศเข้าสู่หน้าหนาวอย่างเป็นทางการของประเทศไทย โดยกรมอุตุนิยมวิทยา แต่สภาพอากาศโดยรวมก็ยังไม่เย็นลงเท่าที่ควร

เช่นเดียวกับฟุตบอลลีกของบ้านเรา เข้าขั้นร้อนในทุกมิติ ทั้งการแข่งขันที่ดุเดือด และมหกรรมเก้าอี้ดนตรีของกุนซือ รวมถึงทีมที่ตกอยู่ในโซนตกชั้นด้วย

มาดูที่ผลการแข่งขัน ไทยลีก 1 หรือ “ไฮลักซ์ รีโว่ ไทยลีก” หลังจากผ่านแมทช์เดย์ที่ 13 จ่าฝูง “แข้งเทพ” ทรู แบงคอก ยูไนเต็ด ยังโชว์ฟอร์มเก็บชัยชนะอย่างต่อเนื่องเป็นนัดที่ 3 ล่าสุด แถมยังยิงไป 10 ลูกและเป็นคลีนชีตทั้ง 3 นัด

แต่นัดล่าสุดที่พวกเขาบุกไปเอาชนะ ขอนแก่น ยูไนเต็ด 1 – 0 ก็เกิด “ดราม่า” ขึ้นมาเมื่อการทำหน้าที่ของผู้ตัดสิน รวมถึงทีมงาน VAR ที่ทำให้เกิดจุดโทษแบบกังขาในช่วงท้ายเกม 2 ลูก อลเวงถึงขั้นเกิดการ “วอล์กเอ้าท์” ของทีมเจ้าบ้าน จนต้องสูญเงินครึ่งแสนจากบทลงโทษโดยไทยลีก

แต่จบเกมนี้ทำให้ “แข้งเทพ” ขยับช่องว่างในอันดับ 2 “ปราสาทสายฟ้า” บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และอันดับ 3 บีจี ปทุม ยูไนเต็ด เป็น 3 คะแนน

อันดับ 4 ถือว่าฟอร์มแรงมาก “ฉลามชล” ชลบุรี เอฟซี ของ “โค้ชเตี้ย” ที่ 4 นัดหลังสุดเก็บชัยชนะมาทั้งหมด แถมนัดล่าสุดยังเอาชนะ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ได้ 2 – 0 อีกด้วย

ส่วนอีกทีมที่ฟอร์มร้อนแรงไม่แพ้กันและไม่พูดถึงคงไม่ได้ หนองบัว พิชญ เอฟซี แชมป์ไทยลีก 2 เมื่อฤดูกาลที่แล้ว 5 นัดหลังสุดของพวกเขา ชนะ 3 และ เสมอ 2 และนัดตกค้างพวกเขาก็เปิดบ้านเอาชนะ แชมป์ไทยลีก 1 เมื่อฤดูกาลก่อน บีจี ปทุม ยูไนเต็ด

แชมป์เก่าประเดิมการหวนกลับมาของ “โค้ชโอ่ง” ในบทบาทที่รับทราบกันว่าเป็น “ผู้จัดการทีม” ในใบรายชื่อเกมนัดตกค้างนี้ หัวหน้าผู้ฝึกสอนเป็น “โค้ชง้วน” สุรชัย จตุรภัทรพงศ์

เหตุก็เพราะว่า AURELIO VIDMAR นั้นได้แยกทางกับทาง บีจี ปทุม ยูไนเต็ด เป็นที่เรียบร้อย เพราะการขยับเขาไปเป็น “ประธานเทคนิค” ของทีมนั้น ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ และอย่างที่เรารับทราบกันว่า ตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งลอย ไม่รู้จะปรับไปเป็นอะไรก็ประธานเทคนิคนี่แหล่ะ

และเป็นที่แน่นอนว่า เมื่อ กุนซือคนเก่าลาออก บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ก็คงจะแต่งตั้ง “โค้ชโอ่ง” ให้ทำหน้าที่นี้แทน ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่เหนือความคาดหมาย เมื่อการโยกกลับจากคลองเตยนั้นเป้าหมายที่แท้จริงก็คือกุนซือใหญ่นั่นเอง หาใช่ผู้จัดการทีมไม่

อลเวงกันไม่น้อย เพราะตอนต้นฤดูกาล ทั้ง บีจี ปทุม ยูไนเต็ด และ การท่าเรือ เอฟซี ต่างก็ลงทำศึก เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก “โค้ชโอ่ง” เองด้วยดีกรีที่ไม่ถึงข้อกำหนด จึงต้องจำใจอำลาทีม โดยถูกมอบหมายงานให้ไปกุมบังเหียน สโมสรราชประชา ทีมน้องของบีจี ปทุม ยูไนเต็ด

ส่วนฟากฝั่งการท่าเรือ เอฟซี พวกเขาใช้บริการ “โค้ชอู๊ด” สระราวุฒิ ตรีพันธ์ กุนซือระดับโปร คุมทีมลงทำการแข่งขัน แต่แล้วเมื่อเริ่มลีก ในทางทฤษฎี ชื่อของ “โค้ชอู๊ด” ยังคงกำกับไว้ในฐานะหัวหน้าผู้ฝึกสอน แต่ทางปฏิบัติหน้าที่นี้เป็นของ “โค้ชโอ่ง” ที่ปฏิเสธงานคุมทีมตราชฎา

อลวน อลเวง กันดีเหมือนกันครับ แล้วอย่างที่ทราบ สุดท้ายก็กลับเข้าที่เดิม คนที่ต้องอำลาจากเก้าอี้ดนตรีระหว่าง 2 สโมสรนี้ กลายเป็น AURELIO VIDMAR ไปเสียอย่างนั้น

แน่นอนว่าหากในอนาคต “กระต่ายแก้ว” คิดจะหวนไปทาบทาม VIDMAR เป็นคำรบสามแล้ว คงต้องคิดหนักหลายตลบทีเดียว ก่อนที่จะเอ่ยว่า “No” เขาคงไม่ถนัดการเล่นเก้าอี้ดนตรีเป็นแน่

โซนท้ายตารางก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะ เชียงใหม่ ยูไนเต็ด อันดับสุดท้าย สุพรรณบุรี เอฟซี รองสุดท้าย และ พีที ประจวบ เอฟซี ที่นัดกันฟอร์มบู่ พ่ายแพ้กันมาอย่างต่อเนื่องและจมอยู่ในโซนตกชั้น จน พีที ประจวบ เอฟซี ต้องตัดสินใจแยกทางกับ มาซามิ ทากิ สังเวยฟอร์มอันย่ำแย่ ก่อนที่จะดึงตัว “โค้ชหระ” อิสระ ศรีทะโร เข้ามารับเผือกร้อนแทน

ทางฝั่งไทยลีก 2 หรือ “เอ็ม-150 แชมเปี้ยนชิพ” คงต้องละ ตราด เอฟซี ไว้ชั่วคราว เพราะช่องว่างที่นำห่างอันดับ 2 อย่างสุโขทัย เอฟซี 10 คะแนน คงหายใจโล่งจนข้ามเลกกันเลยทีเดียว อันดับ 3 อุดรธานี เอฟซี ก็ยังคงทำผลงานทาบอันดับ 2 เป็นรองแค่ประตูได้เท่านั้นที่ยิงน้อยกว่า 3 ลูก

ส่วนกลุ่มที่ไล่เรียงกันมาในกลุ่มเพลย์ออฟ แพร่ ยูไนเต็ด ผลงาน 5 นัดหลัง เสมอ 2 แพ้ไป 3 ทำให้โดนทั้ง ลำปาง เอฟซี ลำพูน วอริเออร์ และ ชัยนาท ฮอร์นบิล แซงขึ้นไปอยู่ในพื้นที่เพลย์ออฟแทน

เรียกว่าแม้นจะเพิ่งแยกทางกับ “โค้ชหนุ่ม” อานนท์ บรรดาศักดิ์ แล้วแต่งตั้ง “กัปตันแป๊ะ” พิชิตพงษ์ เฉยฉิว ขึ้นมาทำทีมขัดตาทัพ แต่ผลงาน 2 นัดที่ “กัปตันแป๊ะ” คุมทีม เก็บได้แค่แต้มเดียวเท่านั้น ก็คงต้องพยายามกันต่อไป และอาจต้องเร่งหากุนซือตัวจริงให้เร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นอาจถึงขั้นหลุดพื้นที่ยาว ๆ ได้

ในแมทช์เดย์ที่ 13 “ทีมตราชฎา” สโมสรฟุตบอลราชประชา ก็เป็นทีมที่สามารถเอาชนะคู่แข่งได้แล้วในบอลลีกดูกาลนี้ จากการเปิดบ้านเอาชนะ ขอนแก่น เอฟซี 2 – 0 ก็ขอแสดงความยินดีด้วยที่ได้ปลดล็อกเสียที แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังคงอยู่ในอันดับรองสุดท้าย มีแต้มเท่ากับ เมืองกาญจน์ ยูไนเต็ด ที่ 11 คะแนน เป็นรองที่ลูกได้-เสีย

ส่วนที่อยู่เหนือพวกเขา เชียงใหม่ เอฟซี นครปฐม ยูไนเต็ด และ ขอนแก่น เอฟซี มีคะแนนมากกว่าแค่แต้มเดียว ดังนั้นผลชนะเพียงนัดเดียวจะเปลี่ยนแปลงอันดับกันพอสมควรเลยทีเดียว สำหรับกลุ่มท้ายตาราง

ส่วนท้ายตาราง สโมสรฟุตบอลราชนาวี ยังคงรั้งท้ายไม่เปลี่ยนแปลง แม้ 5 นัดหลังจะเก็บไปได้ 4 คะแนน แต่ผลรวมที่ 6 คะแนน ยังคงต้องทำงานให้หนักมากขึ้นเพื่อพาตัวเองออกจากอันดับสุดท้ายของตาราง

ปิดท้ายกันที่ เชียงใหม่ เอฟซี จากวิกฤตที่พวกเขาต้องเจอ เนื่องมาจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ส่งผลให้พวกเขาไม่สามารถลงสนามได้หลายนัดทั้งในบอลลีกและบอลถ้วย

ถึงแม้จะกลับมาแข่งได้แล้วก็ยังคงอลวนอยู่กับขุมกำลังที่พวกเขามีอยู่ รวมถึงสภาพความฟิตของนักเตะด้วย แน่นอนว่าสภาพแบบนี้ทำให้การจัดการของ “โค้ชเบ๊” นั้นยากลำบากไม่ใช่น้อย แถมยังจะต้องเจอกับโปรแกรมที่จะต้องมีการจัดให้ใหม่อีก

ก็คงต้องเป็นกำลังใจให้ครับ เพราะเหตุการณ์แบบนี้ก็ไม่มีใครอยากให้เกิด สู้ ๆ ครับ “พยัคฆ์ล้านนา”