ฮิมต๋าย ฮิมยัง

ฮิมต๋ายฮิมยัง :  บอลโลกที่คนไทยได้ดู

ก่อนจะเริ่มงานสัปดาห์นี้ พลันได้ยินประกาศจากกรมอุตุนิยมวิทยา บอกว่าบ้านเราคงไม่หนาวแล้วหล่ะมั้ง ลมหนาวมากะปิดกะปรอย หนาว 4 – 5 วัน แต่อุ่นนาน

ตกลงนี่คือหน้าหนาวแล้วใช่ไหม ทำไมจึงยังไม่รู้สึกว่ามันเป็นเช่นฤดูหนาวที่เราได้เคยสัมผัสกันมา

เอาหล่ะครับ จะหนาวไม่หนาว เป็นเรื่องของอากาศ เป็นเรื่องของธรรมชาติ คิดไปปวดหัวเปล่า นี่ยังมีเรื่องวุ่นวายกันไม่พออีกหรือ

จะไม่วุ่นวายได้อย่างไร เมื่อสิทธิ์ฟุตบอลโลกที่ได้มาฉายให้คนไทยได้ดูมูลค่า 33 ล้านเหรียญ แพงเพราะว่าช่องทางการถ่ายทอดนั้นมากมาย แต่ไฉนบางบ้านแถมไม่น้อยทีเดียว ที่จอยังดำอยู่เลย

ก็กฎ must have ผนึกกำลังกับ myst carry บอกว่าคนไทยต้องได้ดูฟุตบอลโลกผ่านทีวีได้ฟรี! แล้วทำไมยังต้องมาเสียเบี้ยบ้ายรายทางกว่าที่จะได้ดูกันอีก

ถือเป็นเรื่องร้อน และผิดปกติจนไม่อาจจะข้ามไม่ให้พูดถึงไม่ได้ เพราะว่าเงินส่วนหนึ่งที่เป็นเงินประเดิมก้อนแรกมาจากเงินกองทุน กทปส. ที่มี กสทช. เป็นผู้อนุมัติ 600 ล้านบาท

ซึ่งตัวเลขนี้ยังขาดไปอีก 1 พันล้านในตอนแรกที่จะเพียงพอให้ฟีฟ่าขายสิทธิ์การถ่ายทอดมาให้ประเทศไทย

จึงเป็นที่มาของการที่ต้องระดุมทุนในรูปแบบ “การบริจาค” จากภาคเอกชน ที่แท้นั้นเป็นการลงทุนของภาคเอกชนเสียมากกว่า

เพราะคำตอบสุดท้ายนั่นคือ การที่มีผู้ให้บริการดิจิทัลไลฟ์สไตล์ ที่ “บริจาค” 300 ล้าน ได้รับสิทธิ์ในการนำสัญญาณไปถ่ายทอดผ่านช่องทางที่เขาให้บริการอยู่

เป็นเครื่องยืนยันว่า การบริจาคนั้นคงนำมาใช้ไม่ได้ ที่เหมาะที่ควรน่าจะเป็น “การลงทุน” ที่แน่นอนว่าจะต้องมีผลตอบแทนกลับมา และน่าจะมากกว่าที่ “ลงทุน” ไป

จึงอดที่จะตั้งข้อสังเกตไม่ได้ว่า เงิน 600 ล้านบาท เป็นเงินที่ช่วยให้เอกชนสามารถนำสัญญาณการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกมาฉายให้คนไทยได้ดูผ่าน “ช่องทางเฉพาะ” ใช่หรือไม่

โห นี่ก็ช่วยกันลุ้นจนนับเป็นชั่วโมงได้ก่อนที่การเขี่ยบอลจะเริ่มต้น “ฮิมต๋ายฮิมยัง” ว่าจะทันได้ดูไหม กลับกลายเป็นจะได้ดูช่องไหน จะมีช่องไหนถ่ายให้ได้ดู แล้วจอจะดำไหม

เป็นตลกร้ายเรื่องนึงที่ไม่ควรเกิด เพราะทันทีที่เกมการแข่งขันเริ่มต้น เสียงสะท้อนที่บอกว่าดูไม่ได้ ดังระงมไปทั่วทุกแพลตฟอร์ม

เพราะจากที่จะได้ดูผ่านฟรีทีวีกันแบบฟรี ๆ กลับกลายต้องมาหาช่องทางให้ได้ดูแบบ “เสียเบี้ย” ต่างอะไรกับการที่เอกชนไปประมูลมาเองแล้วเอามาปิดวิกเก็บตังค์

แถมยังมีจดหมายเตือนจากฟีฟ่ามาอีกว่ามีสัญญาณเล็ดรอดออกไปยังประเทศใกล้เคียง ยุ่งและวุ่นวายไม่รู้จะแก้ไขกันอย่างไรให้ทัน

ระหว่างให้คนไทยได้ดูฟรี กับ ไม่ให้คนข้างนอกได้ดู กสทช. ตอนนี้ก็หัวหมุน ยิ่งแก้เหมือนลิงแก้แห และที่สำคัญคืออาญาสิทธิ์ในมือ บางเรื่องก็ไม่กล้าจะใช้

พักเรื่องชวนเวียนหัวไปดูเกมฟุตบอลโลกกันดีกว่า ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีสำหรับทีมจากเอเชียที่เข้ารอบสุดท้ายด้วยลำแข้งของตัวเอง

ที่ต้องพูดอย่างนั้นก็คือ รอบนี้เป็นเอเชียที่ได้เป็นเจ้าภาพ การ์ตา เข้ามาเล่นในฐานะเจ้าภาพแต่ผลงานนัดเปิดสนามนั้นต้องบอกว่าสุดบู่ ทั้งสกอร์และสถิติต่าง ๆ ชี้ชัดว่ายังคงต้องพัฒนาอีกมาก

ซาอุดิอารเบีย และ ญี่ปุ่น ถือเป็นชาติในเอเชียที่ “หักปากกา” เซียนทั่วทุกมุมโลก แบบที่ว่าท่านต่อตายเรียบ สถานการณ์เช่นเดียวกันคือตามคู่แข่งแล้วพลิกกลับมาชนะได้ทั้งคู่

และคู่ต่อสู้นั้นไม่ใช่ธรรมดา อาร์เจนติน่า ที่มี ลีโอเนล เมสซี่ พกดีกรีอดีตแชมป์โลก ก็มาพังในนัดแรกด้วยทีมชาติซาอุดิอารเบีย

ส่วน เยอรมันนี อดีตแชมป์โลกอีกทีม ก็พลิกกลับมาพ่ายให้กับทีมชาติญี่ปุ่น แบบที่สะใจคนทั้งโลก

ที่ว่าสะใจเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในเกมในจังหวะ ของ อันโตนิโอ รูดิเกอร์ กองกลางทีมชาติเยอรมันนี ที่วิ่งในลักษณะยกขาสูง ๆ เหมือนตั้งใจจะล้อเลียนนักเตะคู่แข่งทาคุมะ อาซาโนะ

สุดท้ายเป็นนักเตะขาสั้น ทีมชาติญี่ปุ่น ที่ทำผลงานได้ดีกว่าเป็นการปิดปากด้วยผลงาน มากกว่าการแสดงลักษณะเย้ยหยันคู่ต่อสู้ ซึ่งมันเป็นเรื่อง “น่ารังเกียจ” ในเกมการแข่งขัน

ส่วนสิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างคือการแสดงออกที่มาจากส่วนลึกอันมีวินัยที่เข้มแข็งของชาวญี่ปุ่นคือการช่วยกันเก็บกวาดทั้งในห้องพักนักกีฬาโดยทีมงานนักเตะ และอัฒจรรย์ที่แฟนบอลเข้าไปชมเกม ได้รับเสียงยกย่องจากทั่วโลก ปิดปากทุกคนด้วยความเป็นคนญี่ปุ่นได้อย่างสนิท

เชื่อว่าในนัดหน้า แฟนบอลที่หันมาเชียร์ญี่ปุ่น จะมีเพิ่มมากขึ้นจากทั่วทุกมุมโลกครับ

กลับมาที่บอลไทยกันดีกว่า ลีกยังคงอยู่ในช่วงท้ายของเลกแรก เพราะเราเองไม่ได้ไปร่วมโม่แข้งที่การ์ตา ก็เล่นในลีกกันต่อไป เพราะเราเองก็จะมีศึกใหญ่ในอาเซียนปลายปีนี้

ที่น่าสนใจเป็นนัด “ขุนตาน” ดาร์บี้ครั้งแรกบนลีกสูงสุด ระหว่างเจ้าบ้าน ลำปาง เอฟซี เปิดบ้านรับ ลำพูน วอริเออร์ ที่เจ้าบ้านมีสถิติเมื่อพบกันในช่วงหลังเป็นรองผู้มาเยือน

และแม้จะเป็นเจ้าบ้านที่ออกนำก่อน จาก จักราวุธ สงมา ที่เข้าชาร์จจ่อ ๆ และจบครึ่งแรกด้วยสกอร์นี้ ก่อนที่ในครึ่งหลัง ลำพูน วอริเออร์ จะได้ประตูตีเสมอในลักษณะเดียวกันจาก โมฮัมหมัด ออสมัน

ท้ายเกมเป็นฮีโร่ในครึ่งแรก จักราวุธ สงมา ที่เข้าไปสกัดช้าใส่ สันติภาพ ราษฎร์นิยม ในกรอบเขตโทษ เสียเป็นลูกจุดโทษ และ โมฮัมหมัด ออสมัน เป็นคนยิงจุดโทษเข้าไป ทำให้ ลำพูน วอริเออร์ เก็บ 3 แต้ม ข้ามขุนตานกลับมา

ลำปาง เอฟซี ตกไปอยู่ก้นตาราง และน่าจะจมอยู่ในพื้นที่สีแดงหลังจากจบเลกแรกค่อนข้างแน่

ส่วนจ่าฝูง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ก็ยังคงจ้ำอ้าวหนีออกไปเป็น 7 คะแนน ราชบุรี เอฟซี จะให้คะแนนออกห่างมากกว่านี้หรือจะกระชับเข้ามาใกล้มากกว่านี้ สัปดาห์สุดท้ายในเลกแรกจึงจะเป็นคำตอบ

เครดิตภาพ : https://www.matichon.co.th/sport

by TTDad

Warut