ฮิมต๋ายฮิมยัง : บอลไทยลีก ..ต้องไปต่อ

ห้วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวคราวมากมายเกี่ยวกับวงการฟุตบอลทั้งไทยและต่างประเทศ

แน่นอนว่า ข่าวต่างประเทศก็คงไม่มีข่าวไหนที่ชิงพื้นที่ข่าวทุกสำนักได้เท่ากับ ข่าวการเซ็นสัญญาของนักเตะที่เพิ่งพาทีมคว้าแชมป์ โคปา อเมริกา 2021 “ลีโอเนล เมสซี่”

สัญญาฉบับเดิมที่มีกับบาร์เซโลน่านั้น ได้สิ้นสุดลงเป็นที่เรียบร้อย และตัวเขาเองพร้อมที่จะต่อสัญญาออกไปอีก แต่ บาร์เซโลน่า ที่กำลังเจอกับ “กฎการเงิน” ของ ลา ลีก้า สเปน และปัญหาหนี้สินที่สโมสรแบกรับอยู่ตอนนี้ ทำให้แม้ค่าเหนื่อยที่ “เมสซี่” เสนอเองว่าจะขอรับแค่ครึ่งเดียวจากสัญญาฉบับก่อน

แต่เมื่อไปรวมกับนักเตะรายอื่นด้วย ค่าเหนื่อยรวมก็ยังอยู่ที่ระดับ 110% ของรายได้สโมสร นั่นจึงเป็นเหตุผลหลักที่บุรุษที่เล่นให้กับสโมสรเดียวมานาน 21 ปี ไม่สามารถรับสัญญาฉบับใหม่ได้

ทั้งที่ความต้องการของเขาเองยังคงอยากอยู่ที่นี่ต่อ “ผมเชื่อว่าจะได้อยู่ที่นี่ที่ บาร์เซโลน่า นี่คือบ้านของผม บ้านของพวกเรา ผมอยากอยู่กับบาร์เซโลน่าต่อไป แต่วันนี้ผมจำเป็นต้องบอกลาหลังจากอยู่ที่นี่มาแทบทั้งชีวิต”

“สัญญาฉบับใหม่ของผมจริงๆ ทุกอย่างมันเรียบร้อยหมดแล้ว แต่สุดท้ายก็เหมือนกับที่ ลาปอร์ต้า ได้อธิบายไปก่อนหน้านี้ ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับ ลา ลีก้า มันทำให้การต่อสัญญาครั้งนี้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้” นี่คือเหตุผลที่เขาต้องโบกมือลาสโมสรแห่งนี้ไป

สถิติทั้งหมดที่ ลิโอเนล เมสซี่ ดาวเตะวัย 34 ปี ใช้เวลาเกินกว่าครึ่งชีวิตอยู่กับบาร์เซโลน่า ตั้งแต่ศูนย์ฝึก ลา มาเซีย ตอนอายุ 13 ปี ก่อนจะกลายมาเป็นตำนานของสโมสร เขาลงเล่นไปรวมทั้งหมด 778  นัดในทุกรายการ ทำไป 672 ประตู พร้อมกับพา “บาร์ซ่า” ประสบความสำเร็จมากมายไม่ว่าจะเป็นการคว้าแชมป์ลา ลีกา 10 สมัย, โคปา เดล เรย์ 7 สมัย, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 4 สมัย, ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ 3 สมัย และแชมป์สโมสรโลก 3 สมัย

แน่นอนว่านักฟุตบอลคนนึงที่อยู่ร่วมสร้างประวัติศาสตร์ให้สโมสรมาอย่างยาวนานจะรู้สึกเช่นไร เมื่อเขาต้องอำลาจากโดยที่ไม่มีงานเลี้ยงอำลา เขาเองหวังว่าจะได้ลงเล่นให้กับ “บาร์ซ่า” ไปจนแขวนสตั๊ด เป็น One-club man หรือนักเตะที่ค้าแข้งให้กับสโมสรเดียวตลอดชีวิต แต่ในสุดท้ายแล้ว สิ่งนี้ก็ไม่เกิดขึ้น

สัญญาฉบับใหม่ของ “ลิโอเนล เมสซี่” กองหน้าทีมชาติอาร์เจนตินา เป็นสัญญา 2 ปี จาก ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ในลีกเอิง ฝรั่งเศส ค่าเหนื่อย 25 ล้านยูโรต่อปีหลังหักภาษี คิดเป็นเงินไทยเล่น ๆ ก็แค่ 976 ล้านบาท กับค่าเซ็นสัญญาอีก 25 ล้านยูโร

แน่นอนว่าเมื่อภาะค่าใช้จ่ายที่รวมเมสซี่เข้าไปแล้ว จะทำให้รายจ่ายของ “เปเอชเช” จะพึ่งไปถึงเกือบเท่ากับรายรับ ถ้า “เปเอชเช” โดนกฎการเงินเช่นเดียวกับ “บาร์ซ่า” แล้ว การเซ็นสัญญาฉบับนี้ก็ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว “เปเอชเช” เองก็ต้องหาทางลดเพดานค่าเหนื่อยรวมลง เนย์มาร์ และ คีเลียน เอ็มบัปเป้ เองก็รับอยู่ไม่น้อย ดังนั้นต้องมีนักเตะบางรายที่จะต้องถูกขึ้นบัญชีขายออกเพื่อลดค่าใช้จ่าย

ส่วนฟุตบอลลีกในของไทยเราเอง ก็ได้ข่าวคราวเรื่องการเริ่มต้นลีก โดยไทยลีกได้เผยแพร่ตารางการแข่งขันออกมาแล้ว สำหรับไทยลีก 1-2 แต่ยังไม่กำหนดวันชัดเจนว่าจะเป็นวันไหนกันแน่ เพราะยังมีเรื่องที่ต้องพิจารณาตามสถานการณ์การแพร่ระบาดอยู่

สิ่งที่ไทยลีกได้ดำเนินการไปแล้วคือการส่งแผนการจัดการแข่งขันให้กับ ศบค. ได้พิจารณา หลังจากนี้ก็คงต้องเข้าไปชี้แจงในที่ประชุม ศบค. ต่อไป

แนวทางที่เป็นกังวลกันมากที่สุดก็คงเป็นพื้นที่สีแดงเข้ม ซึ่งเป็นพื้นที่ครอบคลุม 29 จังหวัด มีทีมในจังหวัดเหล่านี้มากมาย ไทยลีกจึงมีการนำเสนอรูปแบบการจัดการแข่งขันเสนอไปดังนี้

รูปแบบที่ 1 คือ ทีมที่อยู่ในจังหวัดควบคุมพื้นที่สีแดงเข้ม จะต้องหาสนามอื่นมาใช้แทนในเกมเหย้า ได้แก่ การท่าเรือ เอฟซี, โปลิศ เทโร เอฟซี, ชลบุรี เอฟซี, นครราชสีมา มาสด้า เอฟซี, เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด, บีจี ปทุม ยูไนเต็ด, ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด, พีที ประจวบ เอฟซี, ราชบุรี มิตรผล เอฟซี, สมุทรปราการ ซิตี้, สุพรรณบุรี เอฟซี

จากการติดตามล่าสุด การท่าเรือ เอฟซี เริ่มมองไปที่ สนามกีฬาเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นรังเหย้าในเดือนกันยายน ส่วนสนามอื่น ๆ ที่เคยผ่านมาตรฐานไทยลีก 1 อย่าง สนามของ สุโขทัย เอฟซี และ ตราด เอฟซี 2 ทีมที่ตกชั้นมาเล่น ไทยลีก 2 ก็เป็นตัวเลือกที่ทีมในไทยลีก 1 จะขอไปใช้เป็นรังเหย้าชั่วคราวได้

ส่วนรูปแบบที่ 2 คือ ทีมที่อยู่ในจังหวัดควบคุมพื้นที่สีแดง หรือสีอื่นๆ สามารถใช้งานสนามเหย้าของตัวเองได้ ประกอบไปด้วย บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด, สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด, เชียงใหม่ ยูไนเต็ด, หนองบัว พิชญ เอฟซี และ ขอนแก่น ยูไนเต็ด ส่วนเรื่องผู้ชมก็ต้องไปอ้างอิงกับแต่ละจังหวัดว่าอนุญาตกันได้แค่ไหนอย่างไร

รูปแบบที่ 3 คือ ในกรณีที่โปรแกรมทีมที่อยู่ในพื้นที่สีแดงเข้ม เจอกับทีมที่อยู่ในพื้นที่สีแดงเข้ม เช่น ชลบุรี เอฟซี พบกับ บีจี ปทุม  ยูไนเต็ด ทางชลบุรี เอฟซี จะต้องหาสนามเหย้าที่ไม่อยู่ใน 29 จังหวัดควบคุมสีแดงเข้ม และผ่านมาตรฐานไทยลีก โดยเฉพาะสนามต้องมีจุดตั้งกล้อง วีเออาร์ อาจจะเป็นสนามของตราด เอฟซี เป็นสนามแข่งขันเแทน

แต่สนามอื่น ๆ ที่ยังพอจะใช้ได้และผ่านมาตรฐานของไทยลีก 1 นั้น ทีมงานของไทยลีกคงต้องไปเร่งตรวจสอบ และออกใบรับรองว่าสามารถใช้ได้ก่อนที่การแข่งขันจะเริ่มต้นขึ้น หรืออาจจะลดข้อกำหนดบางเรื่องเพื่อให้สนามที่ว่านั้นผ่านเกณฑ์มาตรฐานเพื่อการแข่งขันไปก่อนในสถานการณ์นี้

รูปแบบที่ 4 คือ ในกรณีที่โปรแกรม ของทีมที่อยู่ในพื้นที่สีแดงเข้ม พบกับ ทีมที่อยู่ในพื้นที่สีแดง ถ้าทีมพื้นที่สีแดงเป็นเจ้าบ้านก่อน ถือว่าแข่งขันได้ตามปกติ เช่น บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด พบ สุพรรณบุรี เอฟซี แต่ถ้าทีมพื้นที่สีแดงเข้มเป็นเจ้าบ้าน และทีมเยือนคือทีมที่อยู่ในพื้นที่สีแดง เช่น นครราชสีมา มาสด้า เอฟซี พบ หนองบัว พิชญ เอฟซี จะขอสลับโปรแกรมให้หนองบัว พิชญ เอฟซี เป็นเจ้าบ้านก่อน

นี่คือแนวทางระยะสั้นของเดือนกันยายน ซึ่งจะเริ่มการแข่งขันนัดแรกในวันที่ 3-5 กันยายน และจะมีการแข่งขันกัน 4 สัปดาห์ ที่ทางไทยลีกได้นำเสนอไป ส่วนถ้าเหตุการณ์การแพร่ระบาดเปลี่ยนแปลงไปด้านใด ก็คงต้องมาปรับแผน และให้ ศบค. พิจารณาอนุญาตกันเป็นครั้ง ๆ ไป ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางได้แข่งขันกันแน่นอน

ส่วนการพิจารณาของ ศบค. จะออกมาตามแผนที่ไทยลีกนำเสนอไปหรือไม่นั้น ก็ต้องมาคอยลุ้นกันต่อไป

บอกไว้เลยว่า แฟนบอลเองก็ใจจดใจจ่อที่จะเข้าไปชมเกมในสนาม ภาวนาให้สถานการณ์คลี่คลายโดยเร็วด้วยเถิด

ฮิมต๋ายฮิมยัง by TTDad

เครดิตภาพ : https://www.siamsport.co.th/home

#ฮิมสนาม#ฮิมสนามตั้งวงเล่า#อีซูซุศาลาเชียงใหม่#ChiangmaiFreshmilk#zetajersey#ดาวเรืองตราบ้าน#ทรายป่าห้า#ไทยลีก#ไทยลีก2#ไทยลีก3#thaileague#ฟุตบอล#ข่าวฟุตบอล#ภาคเหนือ#ข่าวบอล#ข่าวบอลไทย#ข่าวฟุตบอลไทย#ป้อก๊าแข้ง#ไทยลีก1#บอลไทย#football

Warut